วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การถือศิลอด

การถือศีลอด
        การถือศีลอด มาจากภาษาอาหรับว่า "อัศ-เศาม" หรือ "อัศ-ศิยาม" ในทางภาษาหมายถึง การละ
การงด การระงับยับยั้ง การควบคุม ครองตน เช่น การละความชั่ว ยับยั้ง สิ่งต่างๆ ที่เกิดจากอารมณ์ฝ่ายต่ำ ส่วนความหมายในทางศาสนา หมายถึง การละเว้นการบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม การร่วมสังวาส
ระหว่างรุ่งสาง จนตะวันลับขอบฟ้า งดเว้นการพูดจาโกหก เหลวไหล ไร้สาระ เว้นจากการประพฤติชั่ว ทั้งโดยลับ และเปิดเผย ถือปฏิบัติตามแบบอย่างที่ท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ .ล.) ได้ทรงกำหนดไว้โดยให้ควบคุม พร้อมทั้งมือ เท้า หู ตา ใจ ลิ้น และอวัยวะทุกส่วน มิให้ใช้ไปในทางไร้สาระ โองการในอัลกุรอาน มีปรากฏว่า “โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย การถือศีลอดนั้น ได้ถูกกำหนดแก่สูเจ้าดั่งที่ได้ถูกกำหนด แก่เขาเหล่านั้น ก่อนหน้าสู เจ้ามาแล้ว เพื่อว่าสูเจ้าจะได้สำรวมตนจากความชั่ว” จากโองการนี้แสดงว่า การถือศีลอดนั้น ได้เคยมีมาแล้วใน ประชาชาติก่อนๆ เราได้ทราบจากประวัติศาสตร์ว่า ชาวอียิปต์โบราณนิยมถือศีลอด กันมาเป็นประจำ ต่อมาแพร่หลาย ไปยัง ชาวกรีกและโรมัน โดยเฉพาะชาวกรีก ยังได้นำการถือศีลอดนี้ ไปใช้เป็นบทบังคับสตรี และชาวอินเดียยังคงนิยม การถือศีลอด ตราบเท่าทุกวันนี้ ท่านนบีมูซาศาสดาของ ชาวยิวได้ถือศีลอดเป็นเวลา 40 วัน ชาวยิวถือศีลอดเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อระลึกถึงวันที่กรุงยะรุสลิม (เยรูซาเล็ม) ได้ถูกทำลายโดยกษัตริย์บาบิโลน ก่อน ค.ศ. 587 และถูกทำลายซ้ำ โดยชาวโรมันใน ค.ศ.70 การถือศีลอดได้ปฏิบัติกันมาในรูปแบบต่างๆ กัน บางพวกอดอาหารตลอดวัน บางพวกงดเพียงครึ่งวัน บางพวกบริโภคอาหารหนัก แต่ไม่ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มอื่นๆ และบางพวกงดบริโภคเนื้อสัตว์ แต่สำหรับอิสลาม การถือศีลอด หมายถึง การอดอาหารเครื่องดื่ม การเสพเมถุน อดกลั้นทำความชั่วทุกชนิด แม้เพียงนึกคิด ตั้งแต่รุ่งสางจนตะวันลับขอบฟ้าในเดือนรอมฎอน (เดือนที่ 9 ตามปฏิทินทางจันทรคติของอิสลาม) ของทุกปี เป็นเวลาประมาณ 29 ถึง 30 วัน บทบัญญัตินี้ ถูกกำหนดบังคับใช้สำหรับมุสลิมทุกคน ซึ่งถูกบัญญัติ ใน เดือน ซะอบาน (เดือนที่ 8) หลังจาก ท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ.ล.) อพยพจาก มักกะฮสู่มาดีนะฮได้ 2 ปี (ปีฮิจเราฮที่ 2) และได้ ปฏิบัติกันมาจนตราบเท่า ทุกวันนี้ การถือศีลอดเป็นการทดลอง และฝึกหัดร่างกาย ให้รู้จักอดกลั้น ให้รู้จักสภาพอันแท้จริงของผู้ที่อัตคัดขัดสน ทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจกัน เป็นการ ขัดเกลาจิตใจ ให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วพ้นจากอำนาจ ใฝ่ต่ำ และมีคุณธรรม

กฏเกณฑ์ในการถือศีลอดและหลักปฏิบัติ
 1. ผู้ถือศีลอด มุสลิมที่บรรลุศาสนภาวะ คือมีอายุ 15 ปี และหญิงที่เริ่มมีประจำเดือนทุกคนต้องถือศีลอด      ถ้าจะแบ่งประเภทของผู้ถือศีลอดโดยทั่วไป พอจะแบ่งได้ดังนี้
          -  ผู้ต้องถือ ได้แก่ผู้มีร่างกายสมบูรณ์ ไม่เจ็บป่วย ไม่อยู่ในระหว่างการเดินทาง
          -  ผู้ได้รับการผ่อนผัน เมื่อมีเหตุการณ์เฉพาะหน้าอันได้แก่ ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย จะไม่สามารถ ถือศีลอดได้หรืออยู่ในระหว่าง เดินทาง แต่เมื่อเหตุการณ์เฉพาะหน้านั้นหมดไป คือ หายป่วย หรือกลับจากเดินทางแล้ว ก็ต้องถือใช้ให้ครบตาม จำนวนวันที่ขาดไป โดยจะถือชดใช้ในวันใด เดือนไหน ในรอบปีนั้นก็ได้
          -  ผู้ได้รับการยกเว้น คือ
             1. คนชรา
             2. คนป่วยเรื้อรังที่แพทย์วินิจฉัยว่ารักษาไม่หาย
             3. หญิงมีครรภ์แก่และแม่ลูกอ่อนที่ให้นมทารก ซึ่งเกรงว่าการถือศีลอดอาจเป็นอันตรายแก่ทารก
             4. บุคคลที่สุขภาพไม่สมบูรณ์ ซึ่งเมื่อเขาถือศีลอดจะเป็นภัยต่อสุขภาพเสมอ
             5. บุคคล ที่ทำงานหนัก เช่น ในเหมืองหรืองานอื่นๆ 
         ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและศรัทธาของเขาเองว่าจะสามารถถือศีลอดได้หรือไม่ โดยไม่ต้องลวงตัวเอง บุคคลทั้ง 5 ประเภทนี้ ได้รับการยกเว้นโดยไม่ต้องถือเลย แต่ต้องชดใช้ด้วยการจ่าย ซะกาต (อาหาร) เป็นทานแก่คนยากจน ด้วยอาหารที่มีคุณภาพตามที่ตนใช้บริโภคตลอดทั้งเดือน หรือจะจ่ายเป็นค่าอาหาร แทนวันต่อวัน โดยการบริจาคทานให้ต่างบุคคลก็ได้ "อัลลอฮฺ ทรงยกเว้นการถือศีลอด และนมาซส่านหนึ่ง ให้แก่ผู้เดินทาง และยกเว้นการถือศีลอดสำหรับหญิงมีครรภ์แก่ และที่ให้นมทารก" (อัส-สุนัน ของ อิมามอะหมัด)
2. กำหนดเวลาการถือศีลอด ข้อนี้มีปรากฏอย่างชัดเจนในอัลกุรอาน"
จงกินและจงดื่มจนกระทั่งความขาว ของกลางวันกระจ่างจากความดำของกลางคืนในรุ่งสาง แล้วจงถือศีลอดจนกระทั่ง พลบค่ำ" กล่าว คือ ให้เริ่มถือศีลอดตั้งแต่แสงอรุณขึ้น จนตะวันลับฟ้าในช่วง ดังกล่าว นี้ห้ามการกินการดื่มทุกประเภท ห้ามร่วมสังฆวาส แต่นอกเหนือเวลาดังกล่าวนี้ ก็ไม่เป็นที่ห้าม
ดังนั้นจงถือศีลอด และจงแก้การถือศีลอด และจงตื่นและจงนอนและจงถือศีลอด (อาสา) เดือนหนึ่งเพียง 3 วัน เพราะกุศลกรรมนี้ ได้รับการตอบแทน 10 เท่าและนี่ก็เสมือนการถือศีลอดทุกๆ วัน ฉันกล่าวว่า ฉันทนได้มากกว่านี้ ท่านกล่าว ถ้าเช่นนั้น จงถือศีลอดวันหนึ่งและจงอย่าถือศีลอดในอีกวันหนึ่ง (วันเว้นวัน) นี่เป็นการถือศีลอดของนบีดาวูด (อ.ล.) และนี่เป็นการถือศีลอดโดยอาสาที่ดียิ่ง ฉันกล่าวว่า ฉันสามารถทนได้มากกว่านั้น ท่านกล่าวว่า ไม่มีอะไรจะดีกว่านี้อีกแล้ว" (อัลบุคอรี 30:56) จากรายงานนี้ แสดว่าท่านศาสดาสนับสนุนให้ถือศีลอดโดยอาสา เพียงเดือนละ 3 วันเท่านั้น มิให้ถือศีลอดทุกๆ วันตลอดไป และมีรายงานอื่นว่าท่านแนะนำให้ถือศีลอดดังนี้
1. ถือศีลอด 6 วัน ในเดือนเซาวาลต่อจากการถือศีลอดภาคบังคับในเดือนรอมฎอน
2. วันขึ้น 9-10 ค่ำเดือนมุหัรรอม
3. ถือได้หลายๆ วันในเดือนซะอบาน
4. วันจันทร์ วันพฤหัสบดี ทุกสัปดาห์
5. วันขึ้น 13-14-15 ค่ำของทุกเดือน
6. วันเว้นวัน 
วันห้ามถือศีลอด
1. วันอีดทั้ง 2 คือ วันอีดิ้ลฟิตรและอีดิ้ลอัฎฮา
2. วันตัซรีก คือวันที่ 11-12-13 เดือนฮัจย์
3. การเจาะจงถือเฉพาะวันศุกร์เท่านั้น
4. ถือตลอดปี
5. วัน ครบรอบการถือศีลอดภาคบังคับ (อีดิ้ลฟิตร) เมื่อวันแห่งการถือศีลอดได้สิ้นสุดแล้ว รุ่งขึ้นคือวันที่ 1 เดือนเซาวาล เป็นวัน "อีด" ห้ามถือศีลอด ในวันนี้ เพราะเป็นวันแห่งการรื่นเริง ให้ทุกคนทั้งหญิงและเด็กๆ อาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ แล้วไปชุมนุมกัน ณ ที่ที่กำหนดไว้โดยพร้อมเพรียงกัน มุสลิมที่อยู่ในฐานะเหลือกินเหลือใช้ ให้บริจาคทานฟิฏเราะฮ์ ด้วยอาหารพื้นเมืองที่ผู้บริจาคอาศัยอยู่ เช่น ข้าวสาร เป็นจำนวน 1 ศออ์ แก่คนยากจน
กฏเกณฑ์ในการถือศีลอดและหลักปฏิบัติ
3. สิ่งที่ทำให้เสียศีลอด
        1. กิน ดื่ม สูบ เสพ หรือนัดถ์ โดยเจตนา
        2. การร่วมประเวณี ในระยะเวลาที่ถือศีลอด
        3. มีประจำเดือน
        4. คลอดบุตร
        5. เจตนาทำให้อสุจิเคลื่อนด้วยวิธีใดๆ
4. ประเภทของศีลอด
        1. ศีลอดภาคบังคับ คือ ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน (เดือนที่ 9 ตามปฏิทินทางจันทรคติของอิสลาม) เป็นเวลาประมาณ 29 หรือ 30 วันโดยกำหนดวันแรกและวันสุดท้ายด้วยการปรากฏของดวงจันทร์ เสี้ยวข้างขึ้น ( Newmoon) เป็นหลักการ ถือศีลอดประเภทนี้เป็นบทบังคับแก่มุสลิมทุกคนที่ บรรลุศาสนภาวะแล้ว ทั้งนี้ นอกเหนือจากบุคคลที่ได้รับการยกเว้นผ่อนผันดังกล่าวข้างต้น ซึ่งบุคคลประเภทนี้จะต้องถือศีลอดชดใช้ในภายหลัง เมื่อพ้นภาระจำเป็นนั้นแล้วเท่าจำนวนวันที่ขาดไป โดยจะถือใช้ให้ครบจนกระทั่งผ่านรอบปี จะต้องเสียทั้งค่าปรับและถือใช้ด้วยเสียค่าปรับด้วย การให้อาหารแก่คนยากจนหนึ่งวันต่อหนึ่ง คน เช่นถ้าขาด 10 วัน ต้องเลี้ยง 10 คน ในกรณีที่ ผู้ใดเจตนาฝ่าฝืนทำให้เสียศีลอดด้วยการร่วมประเวณี ในเวลาที่กำลังถือศีลอดจะต้องชดใช้ ปรับโทษดังนี้ ปล่อยทาสเป็นเชลย 1 คน ถ้าไม่มีให้ถือศีลอด 2 เดือน ติดต่อกัน ถ้าขาดแม้เพียงวันเดียวต้องเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ ถ้าทำไม่ได้ ้ให้บริจาคอาหารแก่คนยากจน 60 คน อาหารที่จะให้ต้องมีคุณภาพไม่เลว หรือดีกว่า ที่ตนใช้บริโภคประจำวัน
        2. การถือศีลอดชดเชย นอกเหนือจากการถือศีลอดใช้ตามที่ได้กล่าว แล้วนั้นยังมีการถือศีลอดชดเชย อีกประเภทหนึ่งต่อกิจ หนึ่งกิจใดซึ่งผู้นั้นไม่สามารถกระทำได้ในเวลานั้นๆ เช่นในกรณีที่ ผู้หนึ่งไม่สามารถปฏิบัติตามวินัยต่างๆ ของเอียะห์รามให้ครบถ้วนเมื่อเวลาประกอบพิธีฮัจญ์ได้ ก็ให้ผู้นั้นถือศีลอดชดเชย 3 วัน ทั้งนี้ในเงื่อนไขที่ผู้นั้นไม่สามารถบริจาคทา หรือพลีกรรมสัตว์ ได้ตามกำหนด
         3. การถือศีลอดเพื่อลบล้างความผิด ตามที่ปรากฏในอัลกุรอาน มีดังนี้ เมื่อมุสลิมได้ฆ่ามุสลิมอีกคนหนึ่ง โดยเข้าใจผิดให้ปล่อยทาสเป็นอิสระ 1 คน แต่ถ้าไม่สามารถจะไถ่ความผิดโดยการปล่อยทาสได้ก็ให้ ถือศีลอดแทนเป็นเวลา 2 เดือนติดๆ กัน และผู้ใดฆ่าผู้ศรัทธาโดยพลั้งผิด 


กฏเกณฑ์ในการถือศีลอดและหลักปฏิบัติ
ดังนั้น ผู้ฆ่าต้องให้มีการปล่อย ทาสหรือทาสผู้ศรัทธาคนหนึ่งเป็นไท และต้องจ่าย ค่าทำขวัญ แก่ครอบครัวของเขา (ผู้ตาย) เว้นแต่ที่ พวกเขายกเป็นทาน ไม่เอาความแล้วถ้าผู้ตายหาไม่พบ คือไม่มีทาสหรือไม่มีเงินซื้อ เช่น ในสมัยนี้ หรือไม่มีเงินจ่ายค่าทำขวัญ เขาต้องถือศีลอด 2 เดือนติดต่อกัน ตามวินัยในเดือนรอมฎอน "(อัลกุรอาน 2:92) ถือศีลอดลบล้างการหย่าแบบซิฮาร เป็นเวลา 2 เดือน การซิฮารนี้เป็นประเพณีเดิม ของชาวอาหรับ ในสมัยก่อน และเมื่อเริ่มต้นเผยแพร่ศาสนาอิสลาม โดยเรียกภรรยาของตนว่า เป็นเสมือนมารดาของตน เป็นการหย่าไปในเชิงแล้วก็ไม่ร่วมสังฆวาส กับนางในขณะเดียวกันนางไม่มีสิทธิ์ หลุดพ้นจากการเป็นภรรยาโดยแท้จริงไปได้ นางต้องเป็นภรรยาในนามถูกทรมานและจำบ้าน อยู่เช่นนี้ อิสลามได้เลิกระบอบนี้โดยสิ้นเชิง การถือศีลอดประเภทนี้จึงมีในสมัยโน้นเท่านั้น (ดูการหย่า) ถือศีลอดลบล้างความผิดเป็นเวลา 3 วันติดๆ กันเมื่อผู้หนึ่งผู้ใดสาบาน ที่จะไม่กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ถูกต้องและชอบธรรมในกรณีที่ผู้นั้นไม่สามารถ ปล่อยทาสให้เป็นอิสระหรือเลี้ยงคนยากจนถึง 10 คน ได้ " อัลลอฮฺไม่ทรงยึดเอาตามคำไร้สาระ (ไม่เจตนา)ในการสาบานของสูเจ้าแต่อัลลอฮฺทรงยึดเอาจากสูเจ้า ที่สูเจ้าได้ผูกพันธะสาบานไว้ (โดยเจตนา) ถึงการไถ่โทษ ของเขาคือการให้อาหารคนขัดสนสิบคน ตามปริมาณเฉลี่ยที่สูเจ้าให้อาหารแกครอบครัวของสูเจ้า หรือให้เครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขา (สิบคน) หรือการปล่อยทาส หนึ่งคนถ้าผู้ใดหาไม่พบไม่มีความสามารถ ที่จะปฏิบัติตาม นั้นได้ เขาต้องถือศีลอดสามวัน นี้คือ การไถ่โทษคำสาบานของสูเจ้า เมื่อสูเจ้าได้สาบาน " ( อัลกุรอาน 5:89) ถือศีลอดลบล้างความผิดตามคำพิพากษาของผู้เที่ยงธรรม 2 คน เมื่อผู้นั้นล่าสัตว์ ขณะที่กำลังอยู่ ในระหว่างการประกอบพิธีฮัจญ์ ในเงื่อนไขที่ว่าผู้นั้นไม่สามารถให้อาหารแก่คนยากคนจนได้ " บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ยจงอย่าฆ่าด้วยการล่าสัตว์ป่าขณะที่สูเจ้ายังครองเอียะห์ราม และผู้ใดในหมู่สูเจ้า ฆ่ามันโดยเจตนา การชดเชยของมันคือเยี่ยงที่เขาฆ่า จากปศุสัตว์ตามที่ผู้เที่ยงธรรมสองคนจากหมู่สู เป็นสิ่งพลีให้นำยังอัลกะอบะฮ เพื่อเชือดและแจกจ่ายคนจน หรือการไถ่โทษ เจ้าตัดสินนั้นเขาต้องให้อาหารแก่คนขัดสน หรือเยี่ยงนั้นด้วยการถือศีลอด " ( อัลกุรอาน 5:89)
          4. การถือศีลอดโดยอาสา ในหลักการทั้ง 4 ของอิสลามคือ การดำรงนมาซ (การละหมาด) ซะกาต (การบริจาค) การถือศีลอดไปประกอบพิธีฮัจญ์นั้น มีทั้งที่เป็นการบังคับ (ฟัรฎู) และทั้งที่อนุญาตให้กระทำโดยอาสา (นัฟล) แต่ในการถือศีลอดโดยอาสานั้น มีข้อห้ามอยู่บ้างบางประการ ดังรายงานต่อไปนี้ "ท่านอิบนุอุมัร กล่าวว่า ท่านรสูลอูลลอฮฺ 
ทราบว่าฉันจะตกลงใจถือศีลอด ในเวลากลางวันและตื่นในเวลากลางคืนตราบเท่าที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ (เมื่อถูกสอบถามฉันรับว่าฉัน ได้กล่าวเช่นนั้นจริงท่านรสูลอูลลอฮฺกล่าวว่าท่านจะทนเช่นนี้ไม่ได้)
ภาพการละศีลอดร่วมกัน
อาหารเลี้ยงการละศีลอดขนมหวาน
อาหารสำหรับการละศีลอดร่วมกัน โดยมีขนมหวาน(ภาพทางซ้าย) ละศีลอดด้วยอินทผาลัม
การละศีลอดร่วมกัน 
การละศีลอดร่วมกันของมุสลิมีน (ผู้ชาย)
ภาพการละศีลอดร่วมกัน
 
การฟังบรรยายธรรมก่อนกิจกรรมการละศีลอดร่วมกัน
การละศีลอดร่วมกันของมุสลิมะห์ (ผู้หญิง)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น